เมื่อฉันรู้สึกเป็นผู้ใหญ่ ตอนอายุย่าง 42 ปี

เวลารู้สึกล้า จะชอบฟังเพลงชัยชนะ : ป๊อด Modern dog
กว่าเธอจะเดินถึงจุดนี้ต่อสู้มาแล้วนานเท่าไรและทุก ๆ ครั้งที่ผ่านพ้น ก็เพราะอดทนใช่หรือไม่


เวลาต้องการพลัง จะชอบฟังเพลง Live & Learn : กมลา สุโกศล
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล
จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว

ขอเอาความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ที่สัมผัสได้ครั้งแรกว่าการเป็นผู้ใหญ่คงจะเป็นแบบนี้นี่เองมาฝากผู้อ่านทุกท่านค่ะ
ย้อนไปตอนที่เรียนจบ เริ่มทำงาน แต่งงาน มีลูก พออายุประมาณ 35 ปี การงานการเงินก็เริ่มลงตัว ความรู้สึกเหมือนเพิ่งจะผ่านช่วงเรียนจบปริญญาตรีมาใหม่ๆ ที่เปลี่ยนก็แค่เวลากรอกเอกสารที่ต้องระบุอายุทีไร ต้องถามตัวเองในใจ เท่าไหร่นะ ตามด้วยการกดเครื่องคิดเลข ปีปัจจุบันลบด้วยปีเกิดทุกครั้ง คือไม่จำอายุตัวเอง และแล้วเวลาก็ผ่านไปจนถึงปีที่ 40 ก็ยังรู้สึกเหมือนเคย ถามตัวเองตลอดว่าการเป็นผู้ใหญ่คืออะไร 

ในช่วงเวลาการนับถอยหลังสู่ปีที่ 42 มีเรื่องราวเข้ามาวัดความเป็นผู้ใหญ่กับเราหลายเรื่อง มีเรื่องหนึ่งที่เราใช้อารมณ์และทำให้เจอทางตัน ต้องถอย และค่อย ๆ ตั้งสติทบทวน

ทบทวนดีแล้ว ก็เลยมาลำดับความคิดเป็นบทความเรื่องนี้ค่ะ

ความคิด ความรู้สึกที่สัมผัสได้เป็นครั้งแรก ทั้งที่เมื่อก่อนเราไม่ได้คิดแบบนี้ หรือมันคือการโตเป็นผู้ใหญ่กันนะ...
คิดว่าน่าจะใช่...ลองพิจารณาจากข้อความต่อไปจากนี้กันนะคะ

ก้าวย่างสู่ปีที่ 42 มีเรื่องเข้ามาทดสอบตัวเราอีกครั้ง
เราไม่พอใจมากที่ต้องเจอกับความไม่ชัดเจน ไม่เป็นระบบ ไม่ให้เกียรติ ไม่เคารพต่อการเป็นคนทำงานด้วยกัน
อารมณ์บวกกับตรรกะที่ผิดเพี้ยนของเรานำไปสู่การคิดไปเอง คิดเชิงลบ และเครียด
รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังวิ่ง ยิ่งวิ่งยิ่งไม่เห็นเส้นชัย ไม่เจออะไรบนเส้นทางสายนั้นเลย
เหมือนตะโกนดังๆ แต่ไม่มีใครได้ยิน เพราะไม่มีใครสนใจจะฟังคำอธิบายใดใดจากเรา

...

เราร้อนรนเป็นฟืนเป็นไฟและเลือกที่จะพูดถึงคนคนหนึ่งในทางที่ไม่ดีออกไป คนที่รับฟังเป็นคนในสายงานเดียวกันถึง 3 คน ผู้ใหญ่กว่าอีก 1 คน นับว่าพูดออกไปเยอะกว่าปกติ

ปกติเราจะพูดแค่สั้นๆ ไม่อธิบายแล้วแต่ใครจะคิดยังไง เพราะเรารู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่ เราเชื่อในความคิดดีและเชื่อมั่นในความรับผิดชอบที่มากพอของตัวเอง

ครั้งนี้เหมือนเป็นการระบาย ทำไปด้วยอารมณ์พาไป

ครั้งนี้สติหลุดมาก ก่อนหน้านี้เวลามีเรื่องอะไร ถ้าจะมีใครเข้ามาคุยดีดีเหมือนเข้าข้างเรา เราจะคิดเสมอว่านั่นคือการตามเก็บข้อมูล การชวนพูดคุยด้านลบกับเหตุการณ์กับคนที่เกี่ยวข้อง เราจะตัดจบว่าเราพูดกับเจ้าตัวเขาแล้วคือตามนั้น ไม่พูดอีก คนที่จะได้ฟังการบ่นเยอะๆ ก็คือสามีและเพื่อนสนิท บางเรื่องก็มีเล่าให้พ่อและพี่น้องฟังบ้าง...แค่นั้น

ครั้งนี้เราพูดด้านลบของคนคนหนึ่งออกไป ในขณะที่พูด เราคิดว่ามันคือความจริงที่เราพูดได้ และเป็นอะไรที่เราต้องพูดบ้าง

(เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจนะ เราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องบวกเสมอ แต่คำพูดที่พูดบางอย่างมันก็อาจจะย้อนกลับมาหาตัวเองแค่นั้น หมายถึง ถ้าเราพูดถึงคนอื่นไม่ดี เราก็ไม่ได้ดีกว่าเขามากนักหรอก)

เมื่อเราได้ระบายออกไป

เมื่อเรามีโอกาสได้พูดในสิ่งที่คิดกับผู้ใหญ่อีกคน จากปฏิกิริยาตอบกลับ
เราเริ่มได้สติ เพราะเราสัมผัสได้ทันทีว่า เราไม่ได้เป็นคนถูก หรือถูกเลือก
บางสถานการณ์ไม่ต้องการคนที่ทำงานได้ดี แต่ต้องการคนที่มีมุมมองตรงกัน
เพราะฉะนั้น เราต้องถอย
ถอยไปตั้งหลัก และเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้

เราใช้ชีวิตมามากกว่า 41 ปี สิ่งที่เราตั้งใจจริงจัง เราก็ทำมันได้ดีทุกครั้ง
การที่เราจะเจอพลังลบ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้

จริง ๆ แล้ว เราเคยเจอคนพลังลบมาแล้วในตอนที่ทำงานยังไม่ถึง 7 ปี ด้วยซ้ำ ครั้งนั้นเราผ่านเหตุการณ์ไปด้วยดี เพราะยังมีผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเรา
ประโยคที่บอกว่า ทุกที่จะมีคนที่เอ็นดูเราและคนที่ไม่ชอบเราเสมอ คือประโยคแห่งความจริง

เมื่อถอยมาแล้ว เราใจเย็นลงเยอะ
เราได้ทำในสิ่งที่คิดว่าต้องยืนยันตัวตนของเราแล้ว
เราได้ทำในสิ่งที่เราทำได้ไปแล้ว
นอกนั้นคือสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ก็ต้องปล่อย
ปัญหามาเราค่อยแก้ เชื่อในตัวเองเข้าไว้

เมื่อทบทวนแล้วเราพบว่า บางเรื่อง บางสถานการณ์..
ไม่ต้องมีคำว่าเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องวัดด้วยความจริง ไม่ต้องชัดเจน ไม่จำเป็นต้องตามหาคำตอบ
มีแค่ตัวเราเองเท่านั้น ที่เราจะควบคุมได้
ยอมรับต่อสถานการณ์ รู้บทบาท ทำหน้าที่ตัวเองให้ดี รักตัวเองให้มาก
เราจะผ่อนคลาย และมีพลังมากพอในการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงกว่าเดิม

ปิดท้ายด้วยข้อความที่แทนความรู้สึก จากการได้เรียนรู้ครั้งนี้ค่ะ  

ถ้าใครสักคนจะรู้สึกมีความสุขกับความผิดหวังเล็กน้อยของเรา เราก็รับได้นะ ที่สุดแล้วมันก็ทำให้เราโตขึ้น

กับบางคนเราพร้อมที่จะให้ ให้โอกาส ให้อภัย รับฟัง สนับสนุนและร่วมยินดี แต่บางคนต้องปล่อยผ่านไปเลย

ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้เร็วเท่าไหร่ก็มีเวลาผ่อนคลายมากขึ้น

มองกว้างๆ ให้รู้ว่าเมื่อไหร่ต้องสู้ เมื่อไหร่ต้องถอย

บางเรื่องไม่จำเป็นต้องชัดเจน หรือยุติธรรม ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบที่แท้จริง

ไม่มีเรา องค์กรและงานก็ยังคงเป็นไปตามที่ควรเป็น เพราะฉะนั้นเราต้องใช้เวลากับครอบครัวให้มาก จะมากกว่างาน หรือมากกว่าเดิมก็นับว่าดีทั้งนั้น

และการเป็นแม่คืออีกบทบาท
ความสำเร็จสูงสุดของแม่คือ เลี้ยงลูกให้ลูกเป็นคนที่รับผิดชอบ ดูแลตัวเองเป็น

นั่นหมายถึง แม้เราจะรักงานมากแค่ไหน แต่งานคือสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ได้เงินเดือนไว้ใช้จ่าย อีกหน้าที่ที่ไม่มีใครทำแทนได้ก็คือการเป็นแม่ 

สมมติว่าเรามุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ไปอยู่ตำแหน่งที่สูงที่สุดในองค์กร เงินและฐานะทางสังคมระดับสูง แต่ต้องแลกกับการไม่มีเวลาให้ลูก แม้อาจจะโชคดีที่ลูกเติบโตมาอย่างดี แต่เราก็ไม่สามารถย้อนกลับไปสร้างความผูกพันย้อนหลังได้ เวลาผ่านแล้วผ่านเลย การค่อย ๆ เรียนรู้และเติบโตไปกับลูกจึงมีคุณค่ามาก 

ความผูกพันดีดีในครอบครัว จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวของคนคนหนึ่ง ภูมินั้นจะสร้างคน คนคนนั้นจะผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตไปด้วยดีโดยตลอด

เป็นกำลังใจให้ตัวเองและทุกคน และขอขอบคุณทุกคนที่ผ่านมาเจอบทความนี้ค่ะ หากมีความคิดเห็นหรือคำติชมก็คอมเมนต์บอกหรือส่งข้อความทักเพจ https://www.facebook.com/Tassarin2U ได้นะคะ